วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

10 อันดับ รถถัง

อันดับ10  คือT-90S (รัสเซีย)

T-90 เป็นรถถังหลัก (Main Battle Tank) ของรัสเซีย พัฒนามาจากมาจาก T-72 ปัจจุบันเป็นรถถังที่ทันสมัยที่สุดที่ประจำการในกองกำลังทางบกและนาวิกโยธินรัสเซีย รถถังรุ่นนี้เป็นรุ่นที่สืบต่อจาก T-72BM ซึ่ง T-90 จะใช้ปืนหลักและศูนย์ปืนจาก T-80U เครื่องยนต์ใหม่ และกล้องตรวจจับความร้อน (Thermal sight) อุปกรณ์ป้องกันประกอบด้วย แผ่นเกราะระเบิดตอบโต้ (Explosive Reactive Armor) แบบ Kontakt-5, อุปกรณ์เตือนภัยเลเซอร์, เครื่องสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Pulse) แบบ EMT-7 สำหรับทำลายกับระเบิดแม่เหล็ก และระบบรบกวนสัญญาณจรวดนำวิถีต่อต้านรถถังอินฟราเรดแบบ Shtora (หรือ Curtain ในภาษาอังกฤษ)
ข้อมูลทั่วไป

ผู้ออกแบบ: Kartsev-Venediktov
ผู้ผลิต: Uralvagonzavod
ราคาต่อหน่วย: 2.23 ล้าน USD (ในเดือนมกราคมปี 2007)
เข้าประจำการเมื่อ: ปี 1996
น้ำหนัก: 46.5 ตัน
ความยาว: 9.53 เมตร
ความกว้าง: 3.78 เมตร
ความสูง: 2.22 เมตร
พลประจำ: 3 นาย (พลขับ, พลยิง และผู้บัญชาการ)
เกราะ: เหล็กกล้า, วัสดุคอมโพสิต (Composite), ERA (มันมีสูตรอะไรไม่รู้นะ ผมคิดไม่เป็น แต่อ่านๆ ไปมันบอกว่าไปรบในเชชเนียโดน RPG ไป 7 ลูกยังปฏิบัติการต่อได้)
อาวุธหลัก: ปืนลำกล้องเกลี้ยงขนาด 125 มิลลิเมตร แบบ 2A46M (ดูต่อด้านล่าง) 
อาวุธรอง: ปืนกลร่วมแกนขนาด 7.62 มิลลิเมตร แบบ PKT และปืนกลต่อสู้อากาศยานขนาด 12.7 มิลลิเมตร แบบ NSV-12.7 (ดูต่อด้านล่าง)
เครื่องยนต์: เครื่องยนต์ดีเซล 12 สูบ
ระยะปฏิบัติการ: 550 กิโลเมตร
ความเร็ว: 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ระบบอาวุธ

ปืนรถถัง 2A46M เป็นปืนต่อต้านรถถังแบบ Sprut ที่ผ่านการดัดแปลงอย่างมากมาย และเป็นปืนแบบเดียวกับที่ใช้ในรถถัง T-80 สามารถยิงได้ทั้งกระสุนปืนรถถังตามแบบได้แก่ ลูกดอกเจาะเกราะสลัดครอบทรงตัวด้วยครีบ (APFSDS – Armor Piercing Fin-Stabilized Discarding Sabot), ระเบิดแรงสูงต่อต้านรถถังทรงตัวด้วยครีบ (HEAT-FS – High-Explosive Anti Tank (Fin-Stabilized)) และระเบิดแรงสูงสาดสะเก็ด (HE-FRAG – High Explosive Fragmentation) และจรวดนำวิถีต่อต้านรถถัง 2 แบบ ได้แก่ 9M119 Svir (ระยะยิงหวังผล 100-4,000 เมตร) และ 9M119M Refleks (ระยะยิงหวังผล 100-6,000 เมตร) ทั้งสองแบบนาโต้เรียกว่า AT-11 Sniper (นอกจากจะเอาไว้สอยรถถังจากระยะไกลลิบแล้วใช้ยิงเฮลิคอปเตอร์ที่บินต่ำได้ดี หรือเอาง่ายๆ คือ ยิงสวน Longbow Apache และเฮลิคอปเตอร์โจมตีเกือบทุกแบบได้สบายขอเพียงเล็งได้) ใช้เครื่องบรรจุกระสุนอัตโนมัติ ใช้เวลาบรรจุกระสุนต่อนัดประมาณ 5-8 วินาที

ปืนกลหนักต่อสู้อากาศยานแบบ NSV-12.7 สามารถควบคุมจากในรถถังได้โดยผู้บัญชาการ มีระยะยิงที่ 2 กิโลเมตร และอัตราการยิงที่ 650-750 นัดต่อนาที โดยมีกระสุนทั้งหมด 300 นัด ส่วนปืนกลร่วมแกน (เล่น Battlefield ขับรถถังปืนเมาส์ขวานั่นแหละปืนกลร่วมแกน) ใน 1 กล่องจะมี 250 นัด (กระสุนทั้งหมดที่ขนได้มี 7,000 นัด)

นอกจากนี้ T-90 ยังมีระบบตั้งชนวนที่ทำให้สามารถควบคุมการระเบิดของกระสุนระเบิดแรงสูงสาดสะเก็ดได้ ว่าจะให้ระเบิดที่ระยะทางเท่าไรจากรถถังโดยจะกำหนดเครื่องวัดระยะเลเซอร์ของพลยิง เพิ่มประสิทธิภาพในการรบกับเฮลิคอปเตอร์และทหารราบ

ระบบควบคุมการยิงประกอบไปด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยความร้อน ESSA ทำให้สามารถยิงได้อย่างแม่นยำที่ระยะ 5,000 ถึง 8,000 เมตร ที่ตำแหน่งผู้บัญชาการ ด้านพลปืนก็มีศูนย์เล็งแบบ 1G46 ซึ่ง สามารถทำให้ตรวจจับและต่อตีกับเป้าหมายที่มีขนาดเท่ารถถังได้ที่ระยะ 5,000 ถึง 8,000 เมตร ส่วนพลขับใช้ระบบการมองเห็นทั้งกลางวันและกลางคืนแบบ TVN-5
การป้องกัน

การป้องกันของ T-90 มี 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นแรก คือ เกราะคอมโพสิตที่หุ้มรถถังเกือบทั้งคันเอาไว้แบบรถถังทั่วไป ชั้นที่ 2 คือ แผ่นเกราะระเบิดตอบโต้ Kontakt-5 มีส่วนในการลดอำนาจของกระสุนพลังงานจลอย่าง APFSDS ซึ่งติดตั้งไว้เกือบทุกส่วนของรถถัง รวมทั้งบนป้อมปืนสำหรับป้องกันการถูกโจมตีจากด้านบน (Top-Attack) เช่น จากจรวดนำวิถีต่อต้านรถถังแบบ Javelin และชั้นที่ 3 คือ Shtora-1 ประกอบไปด้วยเครื่องรบกวนสัญญาณอินฟราเรด 2 เครื่อง ติดอยู่ที่ส่วนหน้าของป้อมปืน (ที่เหมือนไฟหน้ารถนั่นแหละ), ระบบเตือนภัยเลเซอร์ 4 เครื่อง, เครื่องยิงระเบิดควันแบบ 3D6 2 เครื่อง และคอมพิวเตอร์ เมื่อระบบ Shtora-1 จะเตือนพลประจำรถถังถูกเล็งด้วยอาวุธนำวิถีด้วยเลเซอร์ จากนั้นพลประจำก็จะหมุนป้อมไปเผชิญทิศที่อาวุธเล็งมา จากนั้นเครื่องรบกวนสัญญาณอินฟราเรดก็จะปล่อยสัญญาณรบกวน หรือไม่ก็จะปล่อยระเบิดควันสำหรับบังรถถังจากเครื่องวัดระยะเลเซอร์ นอกจากนี้ T-90 ยังติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันนิวเคลียร์ เคมี และชีวะ (NBC)
ผู้ใช้
รัสเซีย มี 400 คันขึ้นไปในประจำการในปี 2009 และผลิตเพิ่มเรื่อยๆ 2 กองพัน (31 คันต่อ 1 กองพัน) ในทุกๆ ปี จนกว่าจะปี 2011
อินเดีย มี 620 คันในประจำการ เป็นรุ่น T-90S Bhishma
อัลจีเรีย สั่งซื้อไปแล้ว เป็นรุ่น T-90SA 102 คันอยู่ในประจำการ ส่วนที่เหลือจะส่งมอบในปี 2011
ซาอุดิ อาราเบีย สั่งรุ่น T-90S 150 คัน
เติร์กเมนิสถาน สั่งซื้อ T-90S 10 คัน

อันดับ9.Type 99G (จีน)

Type 99 หรืออีก 2 ชื่อเรียกว่า ZTZ-99 และ WZ-123 พัฒนามาจาก ZTZ-98G เป็นรถถังหลักรุ่นที่ 3 ใช้โดยกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน มันถูกสร้างขึ้นเพื่อแข่งขันกับรถถังสมัยใหม่รุ่นอื่นๆ ถึงแม้จะไม่ได้คาดการณ์ว่าจะจัดหามาใช้ในจำนวนมากเพราะราคาที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับ ZTZ-96 ที่มีราคาประหยัดกว่า แต่มันก็เป็นรถถังที่ทันสมัยที่สุดที่ใช้โดยจีน
ข้อมูลทั่วไป
ผู้ผลิต: Norinco (China North Industries Corporation)
ราคาต่อหน่วย: ประมาณ 2.5 ล้าน USD
เข้าประจำการเมื่อ: ปี 2001
น้ำหนัก: 54-58 ตัน ขึ้นอยู่กับโมเดลอะไร
ยาว: 11 เมตร
กว้าง: 3.4 เมตร
สูง: 2.4 เมตร
พลประจำ: 3 นาย (พลขับ, พลยิง, ผู้บัญชาการ)
เกราะ: เป็นความลับ แต่มีข่าวว่าประกอบไปด้วย เซรามิค, แผ่นเกราะระเบิดตอบโต้, คอมโพสิต และเหล็กกล้า
อาวุธหลัก: ปืนหลักขนาด 125 มิลลิเมตรลำกล้องเกลี้ยงแบบ ZPT98 สามารถแทนที่ได้ด้วย 140 มิลลิเมตรของจีน หรือ 155 มิลลิเมตรสำหรับ ZTZ-99KM
อาวุธรอง: ปืนกลหนักแบบ Type 85 ขนาด 12.7 มิลลิเมตร ที่ตำแหน่งผู้บัญชาการ และ ปืนกลร่วมแกนขนาด 7.62 มิลลิเมตร
เครื่องยนต์: เครื่องยนต์ดีเซลระบายความร้อนด้วยน้ำ 1,500 แรงม้า, 2,100 แรงม้าสำหรับ ZTZ-99KM
ระยะปฏิบัติการ: 600 กิโลเมตร
ความเร็ว: 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (เร่งจาก 0 ถึง 32 ได้ใน 12 วินาที)
อุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์และการสื่อสาร
เครื่องมือสื่อสารในรถถังแบบ VHF-2000 มีขีดความสามารถในการทำสงครามอีเล็กทรอนิกส์ได้ ที่ติดอยู่ด้านหลังตำแหน่งของผู้บัญชาการคืออุปกรณ์สื่อสารด้วยเลเซอร์และระบบ IFF ซึ่งเป็นระบบที่กะทัดรัดและสามารถทำหน้าที่ได้หลายอย่าง ทั้งการส่งคำสั่งสัญญาณดิจิตอล การสื่อสารด้วยเสียง และการตรวจจับเลเซอร์ ตัวรับของมันสามารถทำหน้าที่เป็นระบบเตือนภัยเลเซอร์ที่มีระยะทำการไกลกว่า 3,600 เมตร มีมุมเงยและกดเท่ากับทัศนวิสัยของผู้บัญชาการ และกวาดได้รอบทิศ ใช้เวลาจับเป้าน้อยกว่า 0.6 วินาที
ที่ส่วนหลังบนป้อมเป็นระบบนำทางด้วย GPS แบบ 9602 สามารถทำงานได้ในทุกภูมิอากาศ ซึ่งสามารถคำนวณข้อมูลการเคลื่อนที่ของรถถัง ทั้งทิศทาง ความเร็ว รวมถึงการกำหนดเป้าหมาย เพื่อการอำนวยการนำทางที่เหมาะสม
ที่หลังตำแหน่งของพลยิงเป็นระบบป้อมปรามเลเซอร์ ออกแบบมาเพื่อทำลายระบบนำวิถีของอาวุธของศัตรู โดยลำแสงเลเซอร์จะเข้าแทรกแซงแค่ชั่วคราวหรืออาจจะสร้างความเสียหายโดยถาวร สามารถใช้งานได้โดยทั้งพลปืนและผู้บัญชาการ นอกจากนี้ลำแสงเลเซอร์ยังมีผลกับตาเปล่าด้วย
ระบบอาวุธ
อาวุธหลักๆ ของ ZTZ-99 จะเป็นปืน 125 มิลลิเมตร ลำกล้องเกลี้ยง ZPT98 ที่รักษาสมดุลด้วยแกนคู่ บรรจุกระสุนอัตโนมัติ (แบบเดียวกับ T-72) สามารถยิงได้ด้วยทั้งระบบอีเล็กทรอนิกส์และด้วยมือ ลำกล้องปืนสามารถถอดเปลี่ยนได้ในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง อัตราการยิง 8 นัดต่อนาทีโดยใช้เครื่องบรรจุ และ 1-2 นัดต่อนาทีโดยใช้พลบรรจุ กระสุนที่ใช้ได้แก่ ลูกดอกเจาะเกราะสลัดครอบทรงตัวด้วยครีบ (APFSDS) 2 แบบ คือ แบบที่แกนเป็นทังสเตน และแกนเป็นยูเรเนียมปลอดรังสี (DU), ระเบิดแรงสูงต่อต้านรถถัง (HEAT) และระเบิดแรงสูงสาดสะเก็ด (HE-FRAG) และยังมีรายงานว่าสามารถยิงจรวดนำวิถีต่อต้านรถถังแบบ AT-11 ออกปากลำกล้องปืนหลักแบบรถถังรัสเซียได้ด้
ระบบควบคุมการยิง และการสังเกตการณ์
ความแม่นยำในการยิงนั้นขึ้นอยู่กับเครื่องวัดระยะด้วยเลเซอร์, เซนเซอร์คำนวณความเร็วลม, คอมพิวเตอร์คำนวณวิถีกระสุน และปลอกหุ้มลำกล้อง ประกอบกับแกนรักษาสมดุลคู่ทำให้สามารถยิงขณะเคลื่อนที่ได้ ทั้งผู้บัญชาการและพลปืนจะมีกล้องที่ถูกทำให้เสถียรติดอยู่เหนือหัว ซึ่งมีการติดตั้งช่องมองกลางวันและสร้างภาพด้วยความร้อน เครื่องวัดระยะด้วยเลเซอร์ และอุปกรณ์ติดตามเป้าหมายอัตโนมัติ ที่ตำแหน่งผู้บัญชาการจะมีจอภาพที่แสดงภาพที่สร้างด้วยความร้อนจากตำแหน่งของพลปืน ทำให้สามารถยิงปืนหลักได้ด้วยตัวเอง
ผู้ใช้
สาธารณรัฐประชาชนจีน: ประมาณ 500 คัน

อันดับ8  Leclerc (ฝรั่งเศส)

Leclerc เป็น ถ.หลักของฝรั่งเศสที่มีความทันสมัยสูงเข้าประจำการในกองทัพบกฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1992 โดยมีประเทศจัดหาไปใช้อีกประเทศคือสหรัฐฯอาหรับเอมิเรตน์
ถ.Leclerc มีน้ำหนักรถ 55ตัน เครื่องยนตร์ diesel 1,500hp ทำความเร็วได้สูงสุด 71 km/hr อาวุธหลัก ปืนใหญ่ 120mm ปก.ร่วมแกน 12.7mm และ ป้อมปืน 7.62mm พลประจำรถ3นาย 
คาดว่าฝรั่งเศสน่าจะมี Leclerc มือสองสำหรับที่จะส่งออกได้ราว 80คัน ซึ่งเป็นรุ่นเก่าจากจำนวนที่ผลิต 400กว่าคัน ปัจจุบันมี Leclerc ที่ปรับปรุงแล้วเข้าประจำการในกองทัพบกฝรั่งเศส 355คัน

อันดับ7 Type 90 (ญี่ปุ่น)

กองกำลังป้องกันตนเอง แห่งญี่ปุ่น 
เหตุที่ญี่ปุ่นต้องมี กองกำลังป้องกันตนเองก็เพราะว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2490 ของญี่ปุ่นนั้นสหรัฐเป็นผู้เขียนขึ้นเองเนื่องจากญี่ปุ่นแพ้สงคราม และสหรัฐไม่ต้องการให้ญี่ปุ่น กลับเข้าสู้ลัทธิทหารอีก จึงห้ามญี่ปุ่นมีกองกำลังทหาร โดยหลักสำคัญของ รัฐธรรมนูญมาตรา 9 ห้ามญี่ปุ่นใช้กำลังทหารเข้าตัดสินข้อพิพาท ห้ามญี่ปุ่นเข้าสู่สงคราม โดยกองกำลังป้องกันตนเองนั้นไม่ได้เป็นทหาร แต่มีการฝึกเหมือนทหารและมีฐานะเป็นประชาชนธรรมดา 
กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น หรือ Japan Self-Defense Force หรื JSDF นั้นประกอบไปด้วยสามเหล่าทัพคือ 
- Japan Ground Self-Defense Force (JGSDF) หรือกองทัพบก
- Japan Maritime Self-Defense Force (JMSDF) หรือกองทัพเรือ
- Japan Air Self-Defense Force (JASDF) หรือกองทัพอากาศ
โดยมีกำลังพลประจำการประมาณ 240,000 คน 
มาดูรายละเอียดของเจ้า Type-90 Main Battle Tankกันครับ!
น้ำหนัก: 50.2 ตัน
อาวุธ: Rheinmetall L44 120 MM. ชนิดลำกล้องไม่มีเกลียว
ระยะการยิง: 350 กม.
ความเร็ว: 70 กม.

อันดับ6  K1A1 type 88 (เกาหลีใต้)

น้ำหนัก: 54.5 ตัน
อาวุธ: Rheinmetall L44 (M256) 120 MM. ชนิดลำกล้องไม่มีเกลียว
ระยะการยิง: 500 กม.
ความเร็ว: 65 กม./ชม.
ราคา 4.35ล้านเหรียญดอลล่าร์ ความกว้าง 3.66 เมตร ความสูง 2.44 เมตร

อันดับ5  Merkava Mark IV (อิสราเอล)

น้ำหนัก: 65 ตัน 
อาวุธ: Rhinemetall L44 (MG253) 120 MM. ชนิดลำกล้องไม่มีเกลียว
ระยะการยิง: 500 กม.
ความเร็ว: 70 กม./ชม.
ในขณะที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกมุ่งมั่นที่จะผลิตรถถังให้ทรงอานุภาพมากที่สุด เพื่อใช้ในการรบตามแบบฉบับของสมรภูมิในสงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามในตะวันออกกลางทั้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มประเทศอาหรับ หรือสงครามในอิรักครั้งที่ 1 โดยมีสมมติฐานของการพัฒนาอยู่ที่การเผชิญหน้าระหว่างรถถังกับรถถัง ทำให้การออกแบบและสายการผลิตมุ่งเน้นไปที่รถถังที่มีความหนาของเกราะบริเวณด้านหน้าเพื่อป้องกันกระสุนของฝ่ายตรงข้าม รวมถึงการเพิ่มขนาดของปืนใหญ่ที่มีขนาดความกว้างปากลำกล้องจากเดิม 105 ม.ม. เป็น 120 ม.ม. ที่มีระยะยิงไกลเพื่อหวังผลในการทำลายรถถังของฝ่ายตรงข้ามแบบที่เรียกว่า “one shot .. one kill” 
แนวความคิดนี้ปรากฏอย่างเด่นชัดในห้วงทศวรรษ 1970 – 1980 ที่สายการผลิตรถถังของสหรัฐอเมริกา รัสเซีย อังกฤษ และอิสราเอล ต่างให้กำเนิดรถถังที่ล้วนทรงประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้จนไม่อาจตัดสินได้ว่าใครเหนือกว่าใคร เช่น รถถังแบบ เอ็ม 1 อับบรามส์ (M 1 Abrams) ของสหรัฐฯ รถถังเมอร์คาว่า มาร์ค 4 (Merkava Mk IV) ของอิสราเอล รถถังชาลเลนเจอร์ 2 (Challenger 2) ของอังกฤษและรถถังแบบ ที 80 (T 80) ของรัสเซีย ทั้งนี้ยังไม่นับรถถังแบบเลอแคลซ์ (LECLERC) ของฝรั่งเศส, TYPE 90 ของญี่ปุ่นและ ZTZ – 99 ของจีน ที่ล้วนแต่ทรงอานุภาพไม่ด้อยไปกว่ากัน
รถถัง “เมอร์คาว่า มาร์ค 4” (Merkava Mk IV) ซึ่งเป็นรถถังของอิสราเอลที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่า ดีที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก ในการรบกับกลุ่มเฮซบุลเลาะห์ (Hezbullah) ในเลบานอนช่วงปี 2004 ซึ่งกระทรวงกลาโหมอิสราเอลเปิดเผยตัวเลขความเสียหายของรถถังเมอร์คาว่าทุกรุ่นว่าได้รับความเสียหายถึง 52 คัน ในการรบเพียงช่วงสั้นๆ โดยเป็นความเสียหายจากเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังแบบต่างๆ จำนวน 50 คัน เสียหายจากระเบิดแสวงเครื่องที่ฝังไว้บนถนนจำนวน 2 คัน และในจำนวน 50 คันที่ถูกยิงด้วยจรวดต่อสู้รถถัง ตัวจรวดต่อสู้รถถังสามารถเจาะทะลุรถถังเข้าไปภายในตัวรถได้ 22 คัน ทำให้พลประจำรถเสียชีวิต 23 นาย 

โดยกระทรวงกลาโหมอิสราเอลเปิดเผยถึงชนิดของจรวดต่อสู้รถถังของฝ่ายเฮซบุลเลาะห์ว่ามีทั้งจรวดต่อสู้รถถังแบบอาร์พีจี 29, จรวดคอร์เนต อี (Kornet E) และจรวดเมทิส เอ็ม (Metis-M) นอกจากนี้ยังมีจรวดแทนเดม (Tandem missiles) ซึ่งมีหัวรบสองชั้นที่สามารถเจาะทะลุเกราะของรถถังเมอร์คาว่าหรือเกราะที่มีความหนา 700 – 900 ม.ม.ได้ 
สำหรับรถถังเมอร์คาว่าที่ถูกระเบิดแสวงเครื่อง 2 คันนั้น เป็นเมอร์คาว่า มาร์ค 2 และเมอร์คาว่า มาร์ค 4 ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้กับฝ่ายอิสราเอลเป็นอย่างมาก เพราะรถถังเมอร์คาว่า มาร์ค 4 นั้นเป็นรถถังเมอร์คาว่ารุ่นล่าสุดที่ได้รับการออกแบบให้สามารถทนทานต่อการโจมตีทุกรูปแบบ เพราะมีเกราะภายในอีกชั้น (underside armor) 
อย่างไรก็ตามด้วยการติดตั้งเกราะชนิดใหม่นี้ ทำให้รถถังเมอร์คาว่า มาร์ค 4 สามารถป้องกันพลประจำรถจากการโจมตีได้ดีขึ้นกว่ารถถังเมอร์คาว่ารุ่นก่อนๆ ส่งผลให้พลประจำรถถังเมอร์คาว่า มาร์ค 4 เสียชีวิตจากการบในครั้งนี้เพียง 1 คนเท่านั้น
จากบทความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า วิวัฒนาการของจรวดต่อสู้รถถังกำลังมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจนสามารถหยุดยั้งรถถังที่ระบบการป้องกันตัวเองที่เยี่ยมยอดดังเช่นรถถังเมอร์คาว่าได้ โดยเฉพาะจรวดต่อสู้รถถังแบบ เอ ที 14 คอร์เน็ต (AT 14 Kornet) และอาร์พีจี 29 รวมไปถึงจรวดต่อสู้รถถังรุ่นเก่าๆ ที่มีอายุใช้งานมานานกว่า 20 ปีอย่างเช่น อาร์พีจี 7 (RPG 7) เอ ที 3 แซกเกอร์ (AT 3 Sagger) เอ ที 4 สไปกอท (AT 4 Spigot) หรือ เอ ที 5 สแปนเดรล (AT 5 Spandrel) ที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ราคาถูกสามารถซื้อหามาใช้ได้เป็นจำนวนมาก และใช้ปฏิบัติการด้วยการระดมยิงพร้อมกันเป็นชุด ชุดละ 5-6 นัด ก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับรถถังอันทรงอานุภาพได้

อันดับ4  K2 Black Panther (เกาหลีใต้)

น้ำหนัก: 55 ตัน
อาวุธ: Rhinemetall L55 120 MM. ชนิดลำกล้องไม่มีเกลียว
ระยะการยิง: 430 กม.
ความเร็ว: 70 กม./ชม.
เกาหลีใต้ เผยโฉมรถถังประจัญบานรุ่นใหม่ ซึ่งผู้สร้างอ้างว่าสามารถปฏิบัติการใต้น้ำได้ และยังถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลกที่จะป้องกันตัวจากการโจมตีทางอากาศอีกด้วยองค์การพัฒนาเพื่อการป้องกันประเทศ กล่าวว่า รถถัง เอ็กซ์เค2 สามารถเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วลงไปใต้น้ำลึก 4.1 เมตร และรถถังคันนี้ยังพร้อมสำหรับการต่อสู้กะทันหันหลังจากโผล่ขึ้นเหนือน้ำ โดยทางองค์การยังหาทางที่จะส่งออกอาวุธชนิดนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น องค์การดังกล่าวได้อ้างว่า รถถังนี้เป็นรถถังคันแรกของโลกที่สามารถเคลื่อนที่พร้อมฐานปืนได้อย่างสมบูรณ์ใต้น้ำโดยใช้ท่อหายใจชนิดพิเศษ รวมถึงความสามารถในการทำลายเฮลิคอปเตอร์ด้วยจรวดนำวิถีแบบยิงแล้วลืมไปได้เลย ไม่ต้องติดตาม และการป้องกันลูกเรือด้วยระบบเตือนภัยหลากหลายรูปแบบ พร้อมกับปืนหลักที่โหลดกระสุนอัตโนมัติด้วย
     และในการบรรทุกลูกเรือ 3 คน รถถังซึ่งหนัก 55 ตันนี้ มีความเร็วบนท้องถนนมากกว่า 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และข้ามประเทศด้วยความเร็วมากกว่า 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทั้งนี้ รถถังเอ็กซ์เค2 จะเข้าสู่การผลิตแบบจำนวนมากใน 3 ปี ซึ่งขณะนี้ เอ็กซ์เค2 ผลิตโดยโรเท็ม แผนกหนึ่งของบริษัท ฮุนไดมอเตอร์ ร่วมกับบริษัทอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศ และกองทัพโสมขาวจะสั่งซื้อเจ้านวตกรรมใหม่นี้ในปี 2011 โดยยังไม่ทราบจำนวน โดยราคารถถังดังกล่าวตกอยู่ที่คันละ 8.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

อันดับ3  M1A2 Abrams (สหรัฐอเมริกา)

M1A2 Abrams 
ผู้ผลิต USA
ผลิตเมื่อ 1980
ราคา 4.35ล้านเหรียญดอลล่าร์
น้ำหนัก 67.6 ตัน
ความกว้าง 3.66 เมตร
ความสูง 2.44 เมตร
ความสูงใต้ท้องรถ 0.745 เมตร
พลประจำรถ 4 คน
อาวุธหลัก ปืนใหญ่ลำกล้องเรียบขนาด120 มม. M256
ความยาว (ปืนใหญ่อยู่ด้านหน้า) 387 นิ้ว
อาวุธรอง
ปืนกลหนัก M2HB 12.7 มม.
ปืนกลร่วมแกน ปืนกลเบาขนาด 7.62 มม. M240
ปืนกลพลบรรจุ ปืนกลเบาขนาด 7.62 มม. M240 ติดตั้งบนฐานเลื่อนได้
ปืนกลผู้บังคับรถ ปืนกลหนักขนาด .50 นิ้ว M2
ระบบป้องกันอาวุธ นิวเคลียร์ ชีวะ เคมี 
เกราะ: Chobham, RH armor, steel encased depleted uranium mesh plating
เครื่องทำความเย็นกรองอากาศแบบ 200 SCFM
แรงกดบนพื้นดิน 15.4 ปอนด์/ตร.นิ้ว
เครื่องยนต์แบบกังหันแก๊ส 1500 แรงม้า (1,119 kW)
กำลังม้าต่อน้ำหนัก 24.5 แรงม้า/ตัน
เครื่องเปลี่ยนความเร็วแบบHydro Kinetic 4 เกียร์เดินหน้า
2 เกียร์ถอยหลัง
ความจุน้ำมันเชื้อเพลิง 1,892 ลิตร
พิสัยทำการ 449.19 กิโลเมตร
ความเร็วสูงสุดบนถนน 67.7กิโลเมตร/ชม.
ความเร็วเฉลี่ยในภูมิประเทศ 30 ไมล์/ชม.
ข้ามเครื่องกีดขวางทางดิ่ง 1.05 เมตร
ข้ามคูกว้าง 2.7 เมตร

M1A2 Abrams ผู้ผลิต USA ผลิตเมื่อ 1980 ราคา 4.35ล้านเหรียญดอลล่าร์ ..... 
M1 Abrams รถถังหลักรุ่นนี้ได้ใช้ทั้งในกองทัพบกและหน่วยนาวิกโยธินของประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มนำมาใช้งานในปี 1980 ซึ่งก็ออกมาได้สามรุ่น คือ M1, M1A1 และ M1A2 ชื่อของรถถังหลักชนิดนี้เอามาจาก General Creighton Abrams ท่านนายพลท่านนี้เคยเป็น ผบ.ทบ ของกองทัพบก และเคยเป็นผู้บัญชาการ  กองกำลังยานเกาะที่ 37 (37th Armored Regiment) และเป็นผู้บัญชาการกองกำลังทหารสหรัฐในช่วงสงครามเวียดนาม

อันดับ  Challenger 2 (สหราชอาณาจักร)

น้ำหนัก: 62.5 ตัน
อาวุธ: L30A1 120 MM. ชนิดลำกล้องไม่มีเกลียว
ระยะการยิง: 450 กม.
ความเร็ว: 59 กม./ชม 
มาดูรถถังของโลกตะวันตก อย่างเช่นรถถัง Challenger2 ของอังกฤษซึ่งรถถังหลักนี้ช่วยกู้สถานการณ์ของรถถังทั่วโลกก็ว่าได้ครับ รถถังตระกูล Challenger เป็นรถถังที่ออกแบบระบบป้องกันตัวได้ยอดเยี่ยมมาก เกราะของรถถังเรียกภาษาเทคนิคว่าเกราะแบบ “ช็อป-ฮัมป์” (Chobham armour)
สำหรับเกราะแบบ Chobham จริงๆแล้วก็คือเกราะแบบผสม(Composite armour)รุ่นหนึ่งนั่นเอง เพียงแต่ว่าเกราะนี้ถูกคิดค้นขึ้นโดยอังกฤษ และส่วนประกอบของเกราะจริงๆนั้นไม่มีใครรู้หรอกครับว่ามันประกอบด้วยวัสดุอะไร มีคุณสมบัติอย่างไรบ้างเพราะข้อมูลรวมถึงกรรมวิธีการผลิตถูกเก็บเป็นความลับ แต่คาดกันว่าลักษณะเกราะจะเป็นการนำชั้นเซรามิคหลายๆชั้นวางต่อกันอย่างเป็นระเบียบรวมกับวัสดุสังเคราะห์อื่นๆ 
จุดเด่นของการพัฒนาเกราะของ challenger ตั้งแต่รุ่นแรกนั้นเทคโนโลยี รายละเอียดส่วนใหญ่จนถึงปัจจุบันยังคงเป็นความลับขั้นสุดยอด(Classified) การพัฒนาเกราะในรถถังรุ่นแรกนั้นเพื่อต่อต้าน จรวดต่อต้านรถถังชนิดต่างๆ ที่มีราคาถูกของโซเวียตครับ 
จุดเด่นของรถถัง Challenger2 ที่ได้กล่าวไปแล้วคือเรื่องเกราะและการป้องกัน นอกจากนั้นนอกจากนั้นในปัจจุบัน บริษัทผู้ผลิตยังได้พัฒนาให้ติดตั้งปืนใหญ่แบบ 120มม. แบบ L/55 ของ Rheinmetall ประเทศเยอรมนี ซึ่งแปลว่าอานุภาพในการทำลายล้างของปืนสูงมากครับ เพราะเป็นรุ่นเดียวกับที่มีใช้ในรถถัง leopard2A6 ของเยอมนี 
ข้อดีของรถถัง Challenger 2 นี้มีมากเลยนะครับ จุดเด่นๆที่ผมกล่าวไปแล้วก็เป็นส่วนหนึ่ง แปลว่าหากประเทศไทยนำเข้ารถถัง Challenger 2 ได้ก็จะกลายเป็นประเทศที่มีกองกำลังยานเกราะที่ทันสมัยและทรงอานุภาพที่สุดในอาเซียน หรืออาจจะในเอเชียเลยก็ได้ครับ แต่รถถัง Challenger 2ก็มีจุดอ่อนนะครับ
หากดูในอนาคตของรถถัง Challenger2 ดูจะไม่ค่อยสดใสนักเมื่อเทียบกับรถถังคู่แข่งอย่าง M1A2 หรือ Leopard2 ที่มีการส่งออกขายกันอย่างสนุกมือผุ้ผลิตเลยทีเดียว
โดยในต่างประเทศ ประเทศโอมาน ได้สั่งซื้อรถถัง Challenger2 ทั้งหมด 38 คัน โดยสั่งซื้อล็อตแรกจำนวน 18 คันในปี 1993 และสั่งซื้อล็อตที่สอง จำนวน 20 คัน ในปี 1997 การส่งมอบทั้งหมดเสร็จสิ้นให้ประเทศโอมานในปี 2001 
นอกจากนั้นแล้วไม่มีประเทศอื่นที่สั่งซื้อเข้ามาอีกเลยนอกจากอังกฤษ 
ทำให้อาจมีความกังวลว่าผู้ผลิตจะทำการหยุดพัฒนาหรือสนับสนุนอะไหล่ให้กองทัพที่สนใจเช่น กองทัพไทยซึ่งกำหนดสเปกไว้ว่า จะต้องพร้อมที่จะสนับสนุนอะไหล่และอื่นๆเป็นเวลาอย่างน้อย 15 ปี ตามที่ไทยกำหนดได้หรือไม่ เพราะกรีซ ซาอุดิอาระเบีย เคยพิจารณาที่จะนำเข้ารถถัง Challenger2 แต่ตอนสุดท้ายก็ล้มเลิกไปมองหารถถังจากต่างประเทศแทน และที่สำคัญรถถัง มีราคาที่แพงมากพอๆกับรถถัง Leopard2 รุ่น Top หรือ M1A2 กันเลยทีเดียว
และแม้ว่า ทางอังกฤษจะออก Challenger2E ซึ่งเป็นรุ่นส่งออกมาขายให้ต่างประเทศ แต่ดูจากรูปๆบ้านเรา T-72(พม่า) PT-91M(มาเลเซีย) Leopard2A4(สิงคโปร์) T-55(กัมพูชา) ดูจะเป็นตัวเลขที่สิ้นเปลืองมากนักเพราะรถถัง Challenger2 จะกลายเป็นรุ่น TOP ในภูมิภาคไปในทันที จึงดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เวอร์เกินจริงไปมาก
อันดับ1Leopard 2A7 (เยอรมันนี)
น้ำหนัก: 62.3
อาวุธ: Rhinemetall L55 120 MM. ชนิดลำกล้องไม่มีเกลียว
ระยะการยิง: 550 กม.
ความเร็ว: 72 กม./ชม.
ชุดปรับปรุง Leopard2A7+ ที่น่าสนใจคือระบบป้องปืน Remote RCWS นี้ละครับ ซึ่งติดปืนกลหนัก .50cal ซึ่งปกติรถถังหลักของเยอรมนีจะติดปืนกลบนป้อมปืนแบบ MG3 7.62mm มาตลอด รวมถึงระบบเครื่องยินลูกระเบิดบนป้อม Remote ด้วย
ดูเหมือนว่าเยอรมนีจะใช้ประสบการณ์ที่ได้รับการการใช้ ถ.Leopard2 ในสนามจริงมาปรับปรุงระบบอย่างมากครับ
Leopard2A7+ นี้ถ้ามีการผลิตเพื่อส่งออกราคาน่าจะอยู่ที่ประมาณคันละ $5-6Million

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น